INTRASITE Gel ยารักษาแผลเรื้อรัง


คุณสมบัติ อินทราไซท์ เจล

คือไฮโดรเจลใสประกอบด้วย โพลีเมอร์ของแป้ง โพรพิลีนไกลคอล และน้ำ บรรจุอยู่ในภาชนะ

ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ได้ง่ายและสะดวกแม้การใช่ในแผลโพรงลึก ช่วยกำจัดเนื้อตายที่ดำแข็ง

โดยใช้ความชื้นที่หมาะสมกับเนื้อตายเหล่านั้นจนร่างกายสามารถย่อยเนื้อตาย ที่ดำแข็งออกไป

ได้เอง ไม่ทำอันตรายต่อบาดแผล และในขณะเดียวกันยังสามารถดูดน้ำเหลือง และเนื้อตายที่ไม่แข็ง

และมีสีเหลืองออกได้อีกด้วย


คุณประโยชน์

INTRASITE ยังสามารถควบคมสภาพแวดล้อมของแผลให้มีความชื้นที่เอื้อต่อการสมานแผล

เหมาะสำหรับกำจัดเนื้อตายได้ทั้งแผลตื้น แผลลึก และแผลเป็นโพรง

-แผลกดทับ

-แผลเบาหวาน

-แผลที่เกิดจากเส้นเลือดดำบกพร่องที่ขา

-แผลที่เกิดจากมะเร็ง

-แผลไฟใหม้น้ำร้อนลวก

-แผลผ่าตัด

-แผลที่เกิดจากการตัดอวัยวะทิ้ง

-แผลจากการฉายแสง







วิธีใช้ อินทราไซท์ เจล

ทาบริเวณแผล แล้วปิดทับด้วยก๊อสหรือวัสดุปิดแผลที่เหมาะสม

คำเตือน

1.ห้ามใช้ร่วมกับยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีน

2.ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ต่อโพรลีนไกลคอน




ยานี้ใช้ได้ผลดีมาก การันตีจากเจ้าของบล็อกเองเลยค่ะ ใช้แล้วดีมากจากแผลที่ใหญ่เท้านิ้วโป้งมือ และมีน้ำเหลืองไหลออกมาตลอด ทาครั้งแรกแห้งเลย ใช้ไปอาทิตย์กว่า แผลเล็กลงเท่าเมล็ดถั่วเขียว น่าทึ่งกับผลลับมากๆเลย แนะนำเลยค่ะ สามารถหาซื้อยานี้ได้ในลาซาด้าและช็อปปี้ สำหรับยานี้ ไม่มีใครจ้างมารีวิวนะคะ แต่อยากบอกต่อ สิ่งที่ดีๆค่ะ 


 

ไม่อยากหน้าท้องลายหลังคลอดใช่ไหม ?!?

ตลับเดียวอยู่

คุณผู้หญิงที่เริ่มตั้งครรภ์อย่าลืมที่จะดูแลผิวหนังบริเวณหน้าท้อง ต้นขา ข้อศอก และหัวเข่า
หน้้าท้องเป็นผิวที่บางเวลาท้องโตขึ้นเรื่อยๆผิวหนังก็จะขยายมากขึ้นพอถึงเวลาคลอดจะทำให้ผิวหนังลายหน้าเกลียดมากๆถ้าไม่อยากท้องลายรีบหาครีมนีเวียแบบตลับเหมือนในรูปทาได้ตลอดเวลาและควรทาในปริมาณเยอะๆรับรองเห็นผล 100%แน่นอน เพราะดิฉันใช้มาแล้วจึงมาบอกต่อค่ะ
ตอนนี้ครีมนีเวียตัวนี้มีขายที่โลตัสใหญ่เท่านั้นค่ะ

ดีท๊อกตับผิดวิธีมีผลต่อชีวิต




ใครที่รู้จักคำว่า “ดีท็อกซ์” คงจะเคยได้ยินถึงข้อดีของมันมาบ้าง พูดกันง่ายๆ ก็เหมือนกันกับการล้างพิษ ล้างสิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย ทำแล้วเชื่อกันว่าทำให้ระบบภายในร่างกายใสสะอาด ปราศจากเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือสิ่งหมักหมมต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายสกปรก หรือทำให้เป็นโรคภัยต่างๆ โดยทำแล้วสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายทั้งหลายจะไหลออกมาพร้อมกับอุจจาระ

ด้วยความเชื่อนี้ จึงทำให้หลายคนหันไปทำดีท็อกซ์กันเป็นว่าเล่น มีสูตรดีท็อกซ์แพร่หลายตามโลกออนไลน์ต่างๆ มีสมุนไพรที่โฆษณาว่าช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย รวมไปถึงทัวร์ล้างพิษตับไตที่ตามสถาบันต่างๆ จัดขึ้นอีกด้วย จึงมีหลายคนหลวมตัวไปเข้าคอร์สดังกล่าว หรือจำสูตรมาทำเองที่บ้าน จนเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต วิธีดีท็อกซ์ร่างกายแบบไหนควรหลีกเลี่ยงด่วนๆ Sanook! Health มีคำตอบค่ะ



3 วิธีดีท็อกซ์ ล้างพิษตับผิดๆ ที่ห้ามทำ อันตรายถึงชีวิต

1. อดอาหาร ทานได้แต่อาหารบางประเภทที่เชื่อว่าช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย

การอดอาหารแล้วทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น ดื่มแต่น้ำมะนาวโซดา น้ำมะพร้าว น้ำใบย่านาง หรือทานแต่ผลไม้ล้วนๆ นอกจากจะไม่ได้ช่วยดีท็อกซ์ร่างกายอย่างแท้จริงแล้ว ยังทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร หนำซ้ำยังอาจทำให้หมดพลังงาน ไม่มีแรง หน้ามืด ตาลาย น้ำตาลในเลือดต่ำ ยิ่งใครที่ทานแต่ของที่ทำให้ถ่าย อาจเกิดอาการช็อคจากการขาดน้ำจนเสียชีวิตได้

2. สวนรูทวารหนัก

ใครที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย อึดอัดท้องอยากถ่ายแต่ไม่ถ่าย อาจเลือกวิธีสวนรูทวาร โดยการสอดสายน้ำเกลือที่บรรจุของเหลวอย่างน้ำ หรือน้ำกาแฟเข้าไป จริงๆ แล้วด้วยวิธีที่ทำไม่ถือว่าผิด แต่หากคนที่ทำไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ดีพอ รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่อาจไม่สะอาดพอ อาจทำให้ติดเชื้อจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน

นอกจากนี้การสวนรูทวารหนักจะทำให้มีอุจจาระออกมาในปริมาณมาก ไม่ได้หมายความว่าเป็นการดีท็อกซ์ลำไส้จนสะอาดหมดจดอย่างที่คิด แต่เป็นการกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่มากจนเกินไป และหากล้างลำไส้บ่อยๆ อาจทำให้ลำไส้สูญเสียแบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่มีประโยชน์ในการช่วยขับถ่ายออกไป ทำให้ในอนาคตร่างกายอาจทำการขับถ่ายด้วยตัวเองไม่ได้ จนต้องใช้วิธีสวนไปตลอด

3. ล้างพิษตับด้วยสารพัดสูตร

ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยคัดกรองสารพิษเพื่อขับออกจากร่างกายก็จริง แต่การล้างพิษตับด้วยการทานอาหารบางอย่าง เช่น น้ำมันมะกอก และดีเกลือ ไม่ได้ช่วยล้างพิษในตับอย่างที่เข้าใจกันได้ เพราะดีเกลือช่วยให้ขับถ่ายคล่องขึ้น และน้ำมันมะกอกจะปะปนออกมากับอุจจาระ จึงทำให้คนที่ทานทั้ง 2 อย่างคิดว่าทานแล้วช่วยดีท็อกซ์เอาอุจจาระ และไขมันออกมา ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิดเต็มๆ

หากอยากดีท็อกซ์ร่างกายอย่างถูกวิธีจริงๆ เลือกทานอาหารที่มีกากใย เส้นใยอาหารตามธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ อย่างมะละกอสุก ลูกพรุน ธัญพืช ข้าวกล้อง หรืออาจจะเป็นน้ำมะนาวผสมน้ำเปล่า ดื่มในตอนเช้า แต่ยังทานอาหารครบ 5 หมู่ทุกมื้อ และไม่สวนทวาร สวนลำไส้บ่อยเกินความจำเป็น ทางที่ดีหากไม่เคยสวนทวาร สวนลำไส้ด้วยตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน และท้ายที่สุด ดื่มน้ำให้มากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ ไม่ต้องง้อคอร์สดีท็อกซ์ที่ไหนแน่นอนค่ะ

ที่มา :www.sanook.com

กันคิ้วและเขียนคิ้วให้ได้รูปสวย


ดูคลิป



รักแร้ขาว 100% อ่านเลย


วิธีทำให้รักแร้ขาว

1.ห้ามทำการขัดเช็ดถูแรงเกินไป ไม่ว่าจะเป็นใช้เกลือขัด หรือหินขัดก็ตาม เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยแผลหรือถลอกได้และเป็นรอยดำตามมาได้ เพราะในบริเวณใต้วงแขนเป็นบริเวณที่บอบบางมาก

2.ห้ามใช้น้ำหอมหรือโรลออนที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะมันเป็นสาเหตุหลักทำให้รักแร้ดำ

3.หยุดถอนหรือแว๊กซ์ขนรักแร้ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้วิธีการโกนแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบและเป็นการไปรบกวนผิวหนังใต้วงแขน
   4.ลองเปลี่ยนยี่ห้อของโรลออนที่ใช้อยู่ โดยเลือกใช้ยี่ห้อที่ไม่มีส่วนของแอลกอฮอล์

5.เลิกใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการแพ้ระคายเคือง ถ้าเราแพ้น้ำหอม ก็ควรจะเปลี่ยนมาใช้เป็นโร
ออนที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมหรือ "Fragrance-Free" โดยดูได้จากส่วนผสมบนฉลาก

6.หันมาลดความอ้วนอย่างจริงจัง เพราะยิ่งมีน้ำหนักมากเท่าไหร่ก็จะทำให้เกิดรอยเ่ยวย่นตรงบริเวณใต้วงแขนมากเท่านั้น ซึ่งปัญหาที่ตามมาก็คือสร้างจะทำให้รักแร้คุณดูคล้ำกว่าปกติ และทำให้เกิดการเสียดสีอันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดรักแร้ดำ


7.พยายามหลีกเลี่ยงการเสียดสีใต้วงแขนให้มากที่สุด เพราะเป็นสาเหตุของการเกิดรอยย่นได้และทำให้รักแร้ดำขึ้นนั่นเอง

8.ถ้ารักแร้เกิดอาการดำมากหรือไหม้ หรือรักษาดูแลด้วยวิธีต่างๆแล้วอาการแย่ลง คุณควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง


วิธีทําให้รักแร้ขาว แบบบ้านๆ


1.สูตรมะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วค่อยล้างออก ทำเป็นประจำวันเว้นวัน จะช่วยทำให้ผิวใต้วงแขนของคุณขาวเนียนใสขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่จะให้ผลเรื่องความเนียนใสมากกว่า


2.สูตรมะนาว ด้วยการใช้มะนาวสดนำมาฝานแล้วนำเมล็ดออก จากนั้นก็นำมาถูวนเบาๆตรงบริเวณรักแร้แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที อาจจะมีรู้สึกคันยุบยิบบ้างเล็กน้อยแต่ไม่ต้องแปลกใจ ทำเป็นประจำทุกๆวัน จะช่วยทำให้มีการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออก


3.สูตรมะนาวผสมน้ำแตงกวา นำมาปั่นรวมกับขมิ้น แล้วนำมาทารักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก ก็ช่วยให้ผิวใต้วงแขนของคุณดูขาวเรียบเนียนขึ้นได้

4.สูตรน้ำมะนาวผสมน้ำแอปเปิ้ล เมื่อได้น้ำที่ผสมเข้ากันดีแล้ว ให้นำสำลีมาชุบแล้วนำไปทาใต้วงแขนทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก ก็จะทำให้ผิวใต้วงแขนขาวใสได้เหมือนกัน

5.สูตรแตงกวาหรือฝรั่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำมาขัดผิวใต้วงแขนเบาๆ หรือวางทิ้งไว้ตรงบริเวณใต้วงแขนของคุณประมาณ 20 นาที จะช่วยทำให้ผิวใต้วงแขนขาวเนียนขึ้น

6.ยาสีฟันสีขาวนำมาทารักแร้ทิ้งไว้ 20-30 นาที แล้วล้างออก ทิ้งไว้นานกว่าก็ได้


วิธีทำให้รักแร้ขาว แบบลงทุน


1.สารส้มระงับกลิ่นกาย ทาใต้วงแขนหลังอาบน้ำเสร็จเป็นประจำทุกๆวัน ด้วยการถูวนเบาๆ ประมาณ 5 รอบ จะช่วยให้รักแร้ไม่มีกลิ่นเหม็นและไม่ทำให้รักแร้ดำด้วย

2.เกลือสปาหรือเกลือญี่ปุ่น ใช้ขัดถูผิวเบาๆ ย้ำนะครับว่า "เบาเบา" ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดบาดแผลหรือถลอกขึ้นมาก็ได้นะครับ ซึ่งมันจะทำให้รักแร้ของคุณดำมากขึ้นไปอีก

3.ครีมเจ้าแม่กวนอิม อีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ราคาถูก ใช้แล้วเห็นผลจริงด้วยการทาทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก แต่ต้องทำเป็นประจำทุกวันหลังอาบน้ำ เมื่อผ่านไปหนึ่งเดือนคุณก็จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงขึ้น ไม่มากก็น้อย

4.ครีมทารักแร้ขาว หรือไวท์เทนนิ่งต่างๆ ใช้ในช่วงก่อนนอนทุกวันเป็นประจำเสม่ำเสมอ แล้วจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงขึ้นเมื่อผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน แต่คุณควรจะเลือกยี่ห้อหรือแบรนด์ที่ไว้ใจได้และมี อย. เท่านั้นเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีสารที่อันตราย เช่น สารปรอท แม้จะทำให้ขาวเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณเลิกใช้เมื่อไหร่ผิวคุณจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิมแน่นอน เพราะถ้าเป็นครีมทารักแร้ทั่วไปถึงจะมีประสิทธิภาพดีแค่ไหนก็ต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือนครับกว่าจะเห็นผล

5.AHA หรือ Glycolic acid ความเข้มข้นไม่เกิน 15% ทาทิ้งไว้ไม่เกิน 10-15 นาที แต่หากรู้สึกแสบก็ให้รีบล้างน้ำออกทันที ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายออก ทำให้ชั้นผิวเกิดขึ้นใหม่มาแทนที่ชึ้นผิวเดิม จะทำให้ผิวใต้วงแขนดูสดใสขึ้น ผู้ใช้ควรมีความรู้ในด้านนี้บ้างพอสมควร เพราะ AHA จะทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนังได้สูงยิ่งในบริเวณที่บอบบางอย่างรักแร้

6.การทำไอออนโต ตามคลินิกโรงพยาบาลต่างๆ ด้วยหลักการการผลักวิตามินให้ลงลึกสู่ใต้ผิว โดยวิตามินที่จะนำมาทำนั้นก็จะตั้งแต่ VitaminC JA4% Kojic Licorice แล้วแต่ว่าคลิกนิกหรือโรงพยาบาลนั้นๆจะใช้ตัวไหนทำ ซึ่งก็เป็นอีกวิธีทำให้รอยดำคล้ำของรักแร้ดูจางลงได้ โดยราคาการทำต่อครั้งจะอยู่ประมาณ 200-500 บาท

7.การยิงเลเซอร์ ทางออกสุดท้ายแต่ก็ไม่ใช่คำตอบ คุณควรปรึกษากับแพทย์ปัญหากับผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ซึ่งราคาค่อนข้างจะแพงหลายหมื่น และผลที่ได้อาจจะแย่ลงกว่าเดิมก็ได้เพราะอาจจะทำให้เกิดบาดแผลซึ่งบางรายแผลกว่าจะหายก็ใช้ระยะเวลาเป็นปีแถมอาจกลับมาดำเหมือนเดิมอีก คุณควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจและเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงเท่านั้น แต่ผมแนะนำว่าให้คุณลองทำตามวิธีด้านบนก่อนจะดีกว่าเพราะมันสามารถช่วยลดรอยดำลงได้แน่นอน ส่วนจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับการ เลือกใช้วิธีและและความสม่ำเสมอของคุณ


อยากดับกลิ่นรักแร้ทางนี้




กลิ่นตัวและกลิ่นรุักแร้



กลิ่นตัว
กลิ่น ถือได้ว่าเป็นตัวส่งสัญญาณการแสดงบุคลิกและตัวตนของบุคคลนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ทว่าหากกลิ่นที่ออกมาจากร่างกายเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์แล้ว คงสร้างความลำบากใจให้ทั้งคนที่อยู่รอบข้างและเจ้าของกลิ่นได้ไม่น้อย



กลิ่นตัว หรือ กลิ่นเต่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะเหม็นฉุน จริง ๆ แล้วบางคนอาจไม่ได้มีกลิ่นตัวแรงเท่าไร แต่ติดที่จะใช้น้ำยาระงับกลิ่นเพื่อเพิ่มความหอมและความมั่นใจให้กับตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าอยากจะรู้ว่าคุณควรจะใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้คุณลองสังเกตขี้หูของตัวเองดู หากขี้หูแห้งมีลักษณะเป็นแผ่นสีขาวก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายแต่อย่างใด เนื่องจากคุณไม่ค่อยมีกลิ่นตัวเท่าไร แต่ถ้าขี้หูของคุณเป็นสีคล้ำ แถมเหนียวและเปียกอีกต่างหาก คุณก็ควรจะหาวิธีลดกลิ่นตัวได้แล้วล่ะ

สาเหตุของกลิ่นตัว

ต่อมเหงื่อในร่างกาย ร่างกายจะมีต่อมเหงื่อด้วยกัน 2 ต่อม ได้แก่ ต่อม eccrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อชนิดที่ไม่มีกลิ่น มักจะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และจะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนน้ำ เหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาเมื่อทำกิจกรรมหนัก ๆ หรืออยู่ในภาวะอากาศร้อน ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ และต่อม apocrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อที่มีกลิ่น ซึ่งมักจะกระจายตัวอยู่บางแห่งของร่างกาย โดยเฉพาะตามรูขุมขนบนหนังศีรษะที่จะมีมากที่สุด รองลงมาคือตามรักแร้ ขาหนีบ ก้น และแผ่นหลัง เหงื่อชนิดนี้จะมีลักษณะเหนียวใสคล้ายขี้ผึ้ง มีส่วนผสมของไขมันอยู่มาก นั่นทำให้เวลาเหงื่อชนิดนี้ออกมาก็จะเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ (ร่างกายของเพศหญิงจะมีต่อมเหงื่อมากกว่าเพศชาย แต่ต่อมเหงื่อในเพศชายจะขับเหงื่อออกมามากกว่าต่อมเหงื่อของเพศหญิง)

วิธีลดกลิ่นตัว

อาหารบางชนิด เช่น เครื่องเทศและอาหารที่มีสารโคลีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ พืชประเภทฝักถั่ว กระเทียม หัวหอม เต้าเจี้ยว ผักชี แกงกะหรี่ แฮม ปลาทูน่า ฯลฯ รวมไปถึงอาหารที่มีรสจัดก็ล้วนแต่เป็นตัวบงการทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ เพราะทำให้ต่อมเหงื่อขับไขมันออกมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใต้วงแขน และที่สำคัญยังก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้ ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัวได้อีกด้วย ซึ่งคนที่รับประทานอาหารจำพวกนี้เยอะก็จะมีกลิ่นตัวแรงมากเป็นพิเศษ เช่น คนแขกหรือคนอินเดียที่นิยมรับประทานเครื่องเทศและแกงกะหรี่กันแทบทุกวัน
ทำความสะอาดมากเกินไป ใช่…คุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะการทำความสะอาดที่ “มากจนเกินไป” ก็อาจทำให้กลิ่นตัวของคุณเลวร้ายลงได้ เช่น ใช้สบู่ต้านแบคทีเรียหรือใช้สครับถูเพื่อขจัดสิ่งสกปรกนานเกินไป และบางคนถึงขนาดใช้แอลกอฮอล์ขัดถูซ้ำอีกที นั่นก็อาจทำให้ผิวของคุณแห้งและแตกได้ มันจึงเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายของคุณต้องขับเหงื่อให้มากยิ่งขึ้นเพื่อมาต่อสู้ เนื่องจากร่างกายขาดความชุ่มชื้นมากเกินไปนั่นเอง
อารมณ์ (ความเครียด ความโกรธ หรืออาการตกใจ) หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าอารมณ์เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์ได้ ทำให้ต่อมเหงื่อขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ คุณอาจจะเห็นบางคนเหงื่อเปียกชุ่มตามรักแร้ ขาหนีบ หรือมือ ก่อนหรือในขณะทำภารกิจสำคัญอะไรบางอย่าง เช่น การเตรียมตัวพรีเซนต์งาน การสัมภาษณ์งาน การเข้าสอบ เป็นต้น นั่นเป็นเพราะเขาเกิดความเครียดและมีความกดดัน จึงทำให้ร่างกายผลิตเหงื่อออกมามาก และยิ่งเหงื่อออกมามากเท่าไรก็จะพลอยส่งกลิ่นรบกวนคนรอบข้างมากตามไปด้วย
ฮอร์โมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมาก จึงอาจทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน
เกิดจากพันธุกรรมหรือภาวะผิดปกติของร่างกาย อาจทำให้เหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นตัวได้ เช่น การทำงานที่บกพร่องของระบบเผาเผลาญอาหารบางระบบ หรือระบบการย่อยของเอนไซม์ ทำให้ร่างกายสร้างเคมีบางชนิดที่มีกลิ่นแล้วขับออกมาทางเหงื่อ
โรคบางอย่าง ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นตัวได้ เช่น โรคทางสมอง โรคหัวใจ วัณโรค ไทรอยด์ คอหอยพอก โรคตับ โรคไต หรือแม้กระทั่งอยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน
ยาบางชนิด เช่น ยาทารักษาสิวทั่วไปที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ซึ่งจะมีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดกลิ่นตัว
เสื้อผ้า เสื้อผ้าใยสังเคราะห์หรือเสื้อผ้าหนาจะระบายเหงื่อได้ช้า ทำให้เกิดความอับชื้น ส่งผลทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
สภาพอากาศ ในสภาพอากาศร้อนหรือร้อนชื้น จะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นพิเศษ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้น
วิธีดับกลิ่นตัว
อาบน้ำแล้วยัง? ควรอาบน้ำให้สะอาดอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน จึงทำให้มีเหงื่อไคลมากและจะต้องอาบอย่างทั่วถึงทุกซอกทุกมุมในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดอับชื้นหรือตามข้อพับ และใช้สครับรักแร้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง วิธีนี้เป็นเรื่องง่ายและสำคัญที่สุด ซึ่งวิธีกำจัดกลิ่นตัวที่ได้ผลมากที่สุด แต่หลาย ๆ คนกลับละเลยเรื่องนี้ โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่ชอบเล่นกีฬาช่วงเย็น ก็ควรจะอาบน้ำหลังเล่นกีฬาเพื่อเป็นการล้างเหงื่อไคล และอาบอีกครั้งก่อนเข้านอน
เลือกใช้สบู่ที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียโดยตรง และเน้นฟอกบริเวณที่มีการหมักหมมของเหงื่อเพื่อขจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่น แต่ในกรณีที่อาบน้ำดีแล้วยังมีกลิ่นตัวอยู่ ก็ต้องแก้ไขโดยทำให้เหงื่อหรือไขมันออกน้อยลง (ซึ่งจะกล่าวในข้อถัดไป) อีกทางหนึ่งก็คือการทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคที่ผิวหนัง เช่น การใช้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อหรือการทายาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อรา และในบางรายอาจต้องใช้การรับประทานยาร่วมด้วย



ปัสสาวะ หลังปัสสาวะหรืออุจจาระแล้วควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
ประจำเดือน สำหรับสตรีเมื่อมีประจำเดือนควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและเปลี่ยนผ้าอนามัยอยู่เสมอ ๆ
โกนขน ใช่…โกนขนนี้แหละช่วยได้ ! ไม่ว่าจะเป็นขนรักแร้ของผู้หญิง หรือผู้ชายบางคนจะมีขนขึ้นยาวทั้งตัว ตั้งแต่แผงอกไล่ลงมารกทึบยันขนหน้าแข้ง เพราะป่าย่อม ๆ นี้ก็เป็นบ่อเกิดของการสะสมเชื้อแบคทีเรียจนเกิดกลิ่นได้
พยายามอย่าให้เหงื่อออก หากคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่เหงื่อออกง่ายหรือออกมากอยู่แล้ว ก็ควรจะระวังอย่าให้เหงื่อออก ให้เลือกอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทมาก ๆ ไม่งั้นลมโชยมาทีคนรอบข้างอาจสลบเพราะกลิ่นเปรี้ยวของคุณก็ได้
เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน รวมถึงชุดชั้นในและถุงเท้าด้วย เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ในระหว่างวันจะถูกดูดซับไปด้วยเหงื่อและแบคทีเรียต่าง ๆ หากเราใส่เสื้อชุดเดิมโดยไม่นำไปซักทำความสะอาดเสียก่อน ก็จะทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ แม้ว่าเราจะอาบน้ำสะอาดเอี่ยมแล้วก็ตาม
เลือกใส่เสื้อผ้าให้หลวมขึ้น เสื้อผ้าที่คับพอดีตัวจะทำให้มีเหงื่อออกมากและมีการระบายอากาศได้ไม่ดี จนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ทางที่ดีคุณควรเลือกขนาดเสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่เมื่อสวมใส่แล้วเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกสบาย มีช่องว่างเหลือระหว่างร่างกายและเสื้อผ้าบ้าง
เลือกใช้เนื้อผ้าจากธรรมชาติ เสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่นั้นก็เกี่ยวข้องกับการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน โดยเส้นใยจากธรรมชาติอย่างคอตตอนและลินิน จะช่วยระบายอากาศได้ดีกว่าใยสังเคราะห์อย่างไนลอน และที่สำคัญเส้นใยธรรมชาติเมื่อใส่แล้วยังทำให้เย็นสบายตัวได้อีกด้วย
ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้ดี โดยเฉพาะเสื้อตัวที่มีกลิ่นติดอยู่ ให้ซักด้วยวิธีการซักมือและเน้นซักบริเวณใต้วงแขนหรือรักแร้ทั้งสองข้างให้สะอาดและไม่มีกลิ่น ส่วนเสื้อผ้าที่ไม่มีกลิ่นก็ให้ซักด้วยเครื่องซักผ้าตามปกติ และไม่ควรใส่ผ้าจนแน่นเกินไป ส่วนตอนตากผ้าก็ควรตากที่ในโล่งโปร่งและตากให้แห้งสนิท
ผ้าขนหนูช่วยได้ โดยให้หาผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำแล้วบิดให้หมาด หยดน้ำหอมลงไปเล็กน้อย แล้วนำมาเช็ดตามร่างกาย ใต้วงแขน ข้อพับ และแผ่นหลังให้ทั่ว วิธีนี้นอกจากจะช่วยขจัดกลิ่นแล้วยังช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่ควรขัดผิวบ่อย ๆ เพราะการขัดผิวจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย (ให้ขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ)
ผ่อนคลายความเครียด ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าอารมณ์มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ดังนั้นคุณจึงควรหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายความเครียดซะบ้าง
เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายและมีประโยชน์ รับประทานโปรตีนจำพวกธัญพืชต่าง ๆ ผักสดทั้งผักใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สด โดยเฉพาะแก้วมังกร รวมไปถึงอาหารที่มีธาตุสังกะสีหรือแมกนีเซียม เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และอาหารทะเล
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เช่น แกงกะหรี่ กระเทียม ชะอม สะตอ ทุเรียน เครื่องเทศต่าง ๆ หมู ไก่ ไข่ ตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง หรือเลือกรับประทานให้พอเหมาะ ไม่รับประทานมากจนเกินไป
ดีทอกซ์ (Detox) สารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน การดีทอกซ์เป็นประจำก็อาจจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
แป้งดับกลิ่นตัว ที่นิยมกันมากจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ แป้งตราเต่าเหยียบโลก และ แป้งสะอาด โดยการนำมาใช้ทาให้ทั่วหลังอาบน้ำเสร็จ โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ที่ให้เน้นทาเป็นพิเศษหน่อย เพราะเป็นจุดอับที่เป็นตัวแพร่ขยายของแบคทีเรียได้ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
แป้งตราเต่าเหยียบโลก
น้ำหอม โรลออน สเปรย์ระงับกลิ่นตัว โดยให้ใช้ฉีดหรือทาให้ทั่วร่างกายเพื่อระงับกลิ่น โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกก่อนไปทำงานทุกเช้าก็ช่วยได้

สเปรย์ระงับกลิ่นตัว

น้ำยาระงับกลิ่นกาย หรือ ดีโอโดแรนท์ (Deodorant) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็นิยมกันมาก โดยน้ำยาระงับกลิ่นกายเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ เพราะกลิ่นกายเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้ามาผสมกับเหงื่อ หากเราใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย กระบวนการที่ทำให้เกิดกลิ่นก็จะไม่เกิดขึ้น และน้ำยาระงับกลิ่นกายบางยี่ห้อยังมีสารระงับเหงื่อที่ผสมอยู่ด้วย ซึ่งจะช่วยเข้าไปจัดการกับเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมา ทำให้เราไม่มีกลิ่นกาย นอกจากนี้น้ำยาระงับกลิ่นกายทั้งหลายก็มักจะใส่น้ำหอมเข้าไปด้วย ทำให้เรามีกลิ่นตัวหอม ๆ แทนกลิ่นเหงื่อและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ (ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้เปลี่ยนยี่ห้อหรือสูตรน้ำยาระงับกลิ่นกายทุก ๆ 6 เดือน เนื่องจากร่างกายสามารถต่อต้านสารระงับเหงื่อเหล่านั้นได้) แต่สำหรับบางคนอาจทำให้เกิดอาการแพ้และทำให้เกิดผื่นดำได้

น้ำยาระงับกลิ่นกาย

ยาระงับเหงื่อ หรือ แอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม (ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปมักมีส่วนผสมของน้ำหอม) เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ดำจากผื่นได้ โดยยาทาชนิดนี้จะไปทำปฏิกิริยาให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ ทางที่ดีคุณควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียมคลอไรด์ 20% สำหรับทาระงับเหงื่อ

ยาระงับเหงื่อ

สารสกัดจากธรรมชาติ น้ำมันสกัดจากพืชหลายชนิดและสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิดก็มีสรรพคุณระงับกลิ่นกายได้เช่นกัน ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้หรือทำน้ำยาระงับกลิ่นกายจากสารสกัดธรรมชาติเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองอย่างสารส้มสามารถช่วยระงับกลิ่นกายได้อย่างอยู่หมัด หรือจะใช้สารส้มสะตุนำมาผสมกับพิมเสนอย่างละเท่า ๆ กัน บดให้ละเอียด แล้วผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพอง หยดน้ำลงไปนิดหน่อย แล้วนำมาใช้ทารักแร้
สารส้ม (Focal) ของดีจากธรรมชาติที่ช่วยดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ใต้วงแขนได้อย่างดีเยี่ยม มีทั้งแบบก้อน (ดั้งเดิม), แบบแท่ง, แบบผง, แบบน้ำ, แบบสเปรย์ ใช้หลังอาบน้ำดับกลิ่นได้สุดยอดนัก อีกทั้งยังช่วยทำให้รักแร้ขาวด้วยนะเออ (แต่บางคนใช้แล้วรักแร้ดำก็มีนะครับ) ใครแพ้น้ำหอม แพ้โรลออน แพ้เต่าเหยียบโลก ไปซื้อมาลองใช้ดูครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน !!
สารส้ม
ปูนแดง ก็ใช้ลดกลิ่นตัวได้ ด้วยการใช้ปูนแดงผสมกับน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ หรือจะใช้ปูนแดงและใบตำลึงนำมาตำผสมกัน ใช้พอกรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก ซึ่งความเป็นด่างของปูนแดงจะช่วยปรับภาวะกรดในร่างกายที่ขับแบคทีเรียออกมาบนผิวได้ แต่ก็อย่าใช้ปูนแดงในปริมาณที่มากจนเกินไปล่ะ เพราะจะกัดผิวได้ หากทำเป็นประจำกลิ่นตัวก็จะหายไปอย่างถาวร (เขาว่างั้นนะ) อีกทั้งยังทำให้ขนรักแร้ลดน้อยลงอีกด้วย
เบคกิ้งโซดาหรือผงฟู ก็ช่วยขจัดกลิ่นตัวได้ โดยให้นำเบคกิ้งโซดามาผสมกับน้ำเล็กน้อยให้พอข้น แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก โดยเบคกิ้งโซดาจะช่วยลดกลิ่น ทำลายแบคทีเรีย และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ด้วย
น้ำสกัดจากใบสะระแหน่ ลองไปหาซื้อน้ำสกัดใบสะระแหน่มาผสมกับน้ำเปล่า แล้วลงไปแช่ดูสักประมาณ 10 นาที ซึ่งน้ำมันสกัดจากใบสะระแหน่นี้จะมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าและขจัดกลิ่นตัวได้ดี
สมุนไพรดับกลิ่นตัว ผักสมุนไพรที่ช่วยระงับกลิ่นกายได้มีอยู่หลายชนิด เช่น การรับประทานผักแขยงแบบสด ๆ, การรับประทานผักกวางตุ้ง, การใช้น้ำมันพิมเสนต้น (Patchouli oil) ผสมกับน้ำอาบ, ใช้ข่อยขัดรักแร้, ใช้ใบพลูหรือใบฝรั่งนำมาโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วอาบน้ำล้างออกให้สะอาด หรือจะใช้มะขามเปียกหรือมะนาวแทนก็ได้ หรือจะใช้มะเขือเทศขนาดเท่าผลส้มเขียวหวานประมาณ 5 ผล ใส่น้ำ 2 แก้วปั่นในเครื่องปั่นให้ละเอียด แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำมาเทผสมกับน้ำในอ่างอาบ โดยให้ลงไปแช่ประมาณครึ่งชั่วโมง หากทำเป็นประจำก็จะช่วยลดกลิ่นตัวให้เหลือน้อยลงได้ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่ช่วยลดกลิ่นตัวได้ เช่น รากสามสิบ, ใบขลู่สด (Pluchea indica Less.), เถาและใบตำลึง หรือแม้แต่คลอโรฟิลล์ เป็นต้น
วิตามินและแร่ธาตุ ก็ช่วยต้านกลิ่นตัวได้ เช่น วิตามินซีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว หรือเลือกรับประทานวิตามินบี 1 ปริมาณ 50 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และให้ลดลงเหลือ 20-30 มิลลิกรัม เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมอาการ, รับประทานวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 25,000 I.U. หนึ่งวันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้วิตามินบี 6 สังกะสี และแมกนีเซียมก็ช่วยได้เช่นกัน โดยให้เลือกรับประทานอาหารเสริมที่มีแร่ธาตุเหล่านี้ก็สามารถช่วยระงับกลิ่นตัวได้เช่นกัน
การอบสมุนไพรและอาบน้ำสมุนไพร ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดและระงับกลิ่นตัวได้ ไม่เชื่อลองดู
โบทอกซ์ (Botox) สำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงมากจนน้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นเอาไม่อยู่ คุณอาจจะต้องปรึกษาหมอโรคผิวหนังเกี่ยวกับวิธีการรักษาโดยตรง ซึ่งการรักษาด้วยวิธีการฉีดโบทอกซ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ที่สามารถช่วยลดเหงื่อบริเวณรักแร้ได้ดี โดยวิธีนี้จะไปช่วยยับยั้งสารที่หลั่งออกมาควบคุมระบบประสาทที่ทำให้เกิดการหลั่งของเหงื่อ เพราะฤทธิ์ยาจะช่วยให้ขับเหงื่อน้อยลง โดยสามารถลดเหงื่อได้มากถึง 83% ส่งผลให้มีกลิ่นตัวลดลง แต่จะต้องฉีดยาซ้ำเรื่อย ๆ ทุก 3-6 เดือน ราคาทำต่อครั้งก็ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป

โบท็อกซ์รักแร้

miraDry ทางเลือกใหม่ที่รักษาโดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย miraDry คือการใช้ปืนไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขนอย่างถาวร โดยวิธีนี้จะออกแบบมาเพื่อใช้กับต่อมเหงื่อใต้วงแขนหรือรักแร้เท่านั้น ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียกับคุณอย่างแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับสาว ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นเหงื่อใต้วงแขนได้แล้ว ยังช่วยกำจัดขนรักแร้ใต้วงแขนได้อีกด้วย

miraDry

คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) มีกลไกการทำงานโดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุเข้าไปทำลายต่อมกลิ่นและต่อมเหงื่อให้หยุดการทำงานอย่างถาวร และการปล่อยคลื่น RF เข้าไปรักษานี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้วผิวหนัง ทำให้ผิวตึงกระชับและมีความยืดหยุ่นได้อีกด้วย โดยจะช่วยลดเหงื่อและการเกิดกลิ่นได้
ไอออนโต (Iontophoresis) การทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า วิธีนี้สามารถรักษาภาวะเหงื่อออกมาจากฝ่ามือและฝ่าเท้าได้พอสมควร โดยการใช้มือแช่น้ำแล้วผ่านกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง แต่ผลการรักษาจะไม่อยู่ถาวร และต้องทำซ้ำหลายครั้ง ๆ การทำต่อครั้งก็ประมาณ 200-500 บาท

ไอออนโตลดเหงื่อ

เลเซอร์ YAG เป็นเลเซอร์ที่ถูกมาใช้กำจัดขนรักแร้เป็นหลัก มีผลพลอยได้คือช่วยกำจัดกลิ่นรักแร้ ราคาทำครั้งละประมาณ 5,000 บาท และต้องทำประมาณ 5-6 ครั้งขึ้นไป เพื่อผลในการรักษาที่ชัดเจน
สำหรับผู้ที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็น Fish-Malodor Syndrome (FOS ) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เป็นได้ทั้งหญิงและชาย อาการที่เห็นได้ชัดคือมีกลิ่นตัวเหม็นเหมือนปลาเน่า ลมหายใจและน้ำลายมีกลิ่นเหม็น สามารถลดกลิ่นเหม็นดังกล่าวได้โดยการพยายามลดอาหารที่มีโคลีนสูง (ตามที่กล่าวไปข้างต้น) รักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น metronidazole (Flagyl) เพื่อไปยับยั้งการทำงานของแบคทีเรีย แต่วิธีนี้อาจจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาได้ สำหรับวิธีที่ดีที่สุดที่หลายสถาบันกำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ก็คือการตัดต่อยีน เพื่อเร่งให้ร่างกายสามารถผลิต FMO3 ให้ทำงานได้เช่นปกติ
ผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวมากจนเกินเยียวยา แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อตัดต่อมเหงื่อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อ ซึ่งจะได้ผลดี แต่อาจทำให้เกิดแผลได้ ส่วนแพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ผ่าตัดต่อมไขมันใต้ผิวหนังออก หรือดูดไขมันบริเวณรักแร้ออก.

ที่มา:https://medthai.com/วิธีดับกลิ่นตัว/

ผิวขาวใสทำอย่างไร

ผิวขาวด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ





สูตรแรก

ส่วนผสม

- วาสลีนแบบกระปุก


















- น้ำมะนาว

วิธีผสม


วาสลีน 1 ช้อนโต๊ะ และ น้ำมะนาวคั้นสด 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมเข้าด้วยกันคนจนเป็นเนื้อครีมข้น แล้วนำมาทาตรงบริเวณที่อยากให้ขาว ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วเช็ดออก จะเห็นความขาวกระจ่างของผิวทันที สามารถทาได้ทั่วร่างกายรวมถึงใบหน้าก้อทาได้ไม่เป็นอันตรายต่อผิว




สูตรที่สอง


ส่วนผสม

- ยาสีฟัน














- น้ำมะนาว

วิธีผสม

บีบยาสีฟัน 1 ช้อนโต๊ะ และ น้ำมะนาวคั้นสด 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมเข้าด้วยกันจนเป็นเนื้อครีม สูตรที่สองนี้ก่อนจะทาควรนำมาเทสดูกับผิวก่อนนิดหน่อยดูว่าแดงหรือมีื่นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นไรก็สามารถนำมาทาได้ทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งใบหน้า ทาทิ้งไว้ 10-20 นาที แล้วลี้างออกแค่นี้ก้อจะเห็นความขาวกระจ่างใสของผิว สามารถทำได้บ่อยตามต้องกร

 

H & B 72 © 2012 | Designed by Cheap Hair Accessories

Thanks to: Sovast Extensions Wholesale, Sovast Accessories Wholesale and Sovast Hair